วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิโคลาส กล็อกซ์ (Nicolas Claux) แวมไพร์แห่งกรุงปารีส

นิโคลาส กล็อกซ์ (Nicolas Claux)
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ปีค.ศ.1994 เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยบริเกต คริมิเนล แห่งมหานครปารสได้ททำการจับกุมตัวนิโค กล็อซ์ ที่ด้านหน้ามูแลง รูจ สถานบังเทิงชื่อดัง ฐานตกเป็นผู้จ้องสงสัยกระทำการฆาตกรรมเธี่ยรี่ บิสซองนิเยร์ วัย 32 ปี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา และเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องพวกรักร่วมเพศ 7 ราย โดยทั้งหมดเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมเดือนเดียว
นิโค กล็อกซ์ ถูกนำตัวไปหน่วยสอบสวนเพื่อสอบปากคำ พวกเขาเอาหมายค้นไปค้นหาหลักฐานที่อพาร์ตเมนต์ที่นิโคอาศัยอยู่ มันเป็นอพาร์มเนต์เล็กๆ ในบ้านเลขที่ 9 ถนน คูส์โต และแล้วพวกตำรวจก็พบสิ่งที่ไม่คาดฝันในห้องพังของนิโคล มันคือฟันของมนุษย์ที่หล่นเกลื่อนไปตามพื้นห้อง กระดูกสันหลังและกระดูกขามนุษย์ห้อยโตงเตงลงมาจากเพดานห้องเหมือนโมบายส์ วีดิทัศน์จำนวนมากมายที่มีภาพการชำแหละวางอยู่เต็มชั้นเก็บของ ผนังห้องด้านหนึ่งมีเป้ากระดาษที่มีรอยยิงฟรุนปะอยู่เต็มไปหมด อีกด้สนหนึ่งของห้องเป็นที่ตั้งเครื่องรับโทรศัพท์บนหลังเครื่องมีขวดแก้วที่ใส่เก้ากระดูกของมนุษย์วางประดับอยู่ด้วย
ยังไม่พอ อีกมุมหนึ่งห้องมีนิตยสารหลายเล่มกองมัดอยู่ด้วยกัน ใกล้กองนิตยสารพวกนั้นตำรวจได้พบกระเป๋าสะพายหลังของกล็อกซ์ ภายในมีกุญแจมือ เครื่องมือผ่าตัด เทปกาว และในตู้เย็นตำรวจพบถุงบรรจุโลหิต ที่นิโคขโมยมา เขาไม่ได้เอามาเพื่อใส่ตู้เย็นเฉยๆ เขาเอามาไว้เพื่อดื่มสด ดื่มกินเสมือนมันเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง
และเมื่อนิโคได้ทราบข่าวนี้แล้ว เขาก็นิ่งเงียบครู่ใหญ่ และเริ่มอธิบายว่ากระดูกและฟันเหล่านี้เขาขโมยจากการขุดศพในสมัยเป็นสัปเหร่อ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เป็นอาชีพที่ผมได้ค้นพบคำตอบมาตลอดชีวิต คือการกินเนื้อคน ผมชอบอยู่ตามลำพังกับศพแล้วแล่เนื้อที่ซี่โครงมากินสดๆ บางครั้งก็แอบเฉือนเนื้อศพติดมือกลับมาที่บ้านเพื่อประกอบอาหารแล้วกิน
ทำไมนิโคต้องฆ่าคนแบบโหดเหี้ยม ทำไมเขาต้องกินเนื้อคน ทำไมต้องกินเลือดคนแทนน้ำ ทำไมถึงหลงใหลซากศพ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่คำตอบชีวประวัติของนิโคลาส กล็อกซ์

นิโคลาส กล็อกซ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ปีค.ศ.1972 ในประเทศเมรุน ประเทศหนึ่งในทวีอแอฟริกา บิดาของนิโคทำงานเป็นพนักงานธนาคารที่ย้ายไปทำงานในธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสในต่างแดน ทำให้นิโคกับครอบครัวต้องย้ายบ้านไปยังต่างประเทศบ่อยๆ เช่นตอนอายุ 5 ขวบก็ย้ายไปลอนดอน, อายุ 7 ขวบย้ายไปปารีส และอยู่ที่นั้นจนอายุ 12 ขวบ
นิโคลาส กล็อซ์ได้เล่าชีวิตวัยเด็กว่า
“ชีวิตตอนเด็กของผมก็เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป ยกเว้นแต่ว่าผมมีเพื่อนไม่กี่คน ผมเป็นลูกโทนของครอบครัวไม่มีพี่ไม่มีน้อง ผมจึงอยู่ลำพังในห้องนอน พ่อผมเป็นคนดี อยากได้อะไรพ่อก็หามาให้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อไม่เคยให้ผมเลยคือความอบอุ่น พ่อไม่เคยกอดหรือจูบผม พ่อปล่อยให้ผมอยู่ตามประสาของผม จนทำให้ผมมีความรู้สึกเย็นชาจนไม่รู้จักความทุกข์ของผู้อื่น
เพื่อนของผมในเวลานั้นคือหนังสือ ผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับผีดูดเลือด มนุษย์หมาป่า และฝังใจในเรื่องความตายและมนต์ดำ ภาพปาซูซู ปีศาจร้ายแห่งสุเมเรียนโบราณในหนังสือที่พ่อซื้อมาจากอังกฤษ ฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึกของผม สำหรับผมแล้วปาซูซูคือปีศาจที่มีพลังอำนาจสูงสุด และเมื่อได้ดูภาพยนตร์หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์ ความเสื่อมใสในมนต์วูดูในตัวผมยิ่งเพิ่มขึ้นท่วมหัวใจ”
เมื่อนิโคอายุได้ 10 ขวบ เขามีปากเสียงกับคุณปู่ เถียงจนปู่เส้นโลหิตใหฯในสมองแตกตาย กล็อกซ์ได้สารภาพเหตุการณ์นี้ว่าเป็นความประทับใจในวัยเด็กของเขาที่ยากจะลืมเลือน เขาประทับใจในงานศพ บรรยากาศในงาน และเริ่มหลงใหลในความตายแบบปัจจุบันทันด่วน
อายุ 12 ปี ครอบครัวของนิโคย้ายไปลิสบอน โปรตุเกส อยู่ที่นั้น 4 ปี ชีวิตของนิโคก็เหมือนเดิม เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย นิโครรู้สึกว่าตนเองเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก
นิโคลาส กล็อซ์ได้เล่าชีวิตวัยเด็กหลังจากนั้นว่า
“เมื่ออายุได้ 16 ปี พ่อก็ย้ายกลับปารีส คราวนี้ผมอยู่กับพ่อเพียงลำพัง มีเวลาว่างผมก็เดินท่อมๆ อยู่ในป่าช้า เชื่อไหมผมรู้จักป่าช้าทุกแห่งในปารีส ระหว่างปีค.ศ.1990-1993 ผมใช้เวลาว่างที่นั้น จมอยู่ในป่าช้า ผมเที่ยวดูต้นไม้และดอกไม้ ประตูของอาคารครอบหลุมศพ
สิ่งที่ผมประทับใจคืออาคารที่สร้างครอบหลุมศพอย่างสวยงาม โดยเฉพาะที่เพียร์-ลาชาว หรือพาลซี-ซีเม็นทรี่ ผมชอบไปมองเข้าไปข้างในที่ผ่านหน้าต่างประตูที่ปิดสนิท ภายในประดับตกแต่งโดยเฟอร์นิเจอร์หรือไม่ก็เป็นรูปปั้น จนมันทำให้ผมอยากเข้าไปข้างใน ผมทำกุญแจมือสำหรับไขเปิดประตูอาคารเข้าไปข้างใน หรือใช้ชะแลงงัด หรือไม่ก็แงะหน้าต่างมุดเข้าไป เมื่อเขาไปแล้วความรู้สึกของผมเหมือนกับว่าผมเป็นจักรพรรดิแห่งดินแดนนรก ดินแดนแห่งนี้เป็นอาณาจักรของผม ก่อนที่พัฒนามาเป้นนักขุดศพในที่สุด”
เมื่ออายุ 20 นิโครได้ถูกเกณฑ์ทหารอยู่ในหน่อยซ่อมบำรุงอาวุธปืน แต่อยู่ได้แค่หนึ่งปีก็ลาออก และไปสมัครอาชีพที่เกี่ยวของกับศพ นั้นคือพนักงานในโรงพยาบาลในห้องเก็บศพ แซงต์ แวงซองต์ เดอล พอล เป็น โรงพยาบาลสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
ครั้งแรกที่เขาแตะต้องศพที่ตายใหม่ๆ คือเป็นลูกมือแพทย์นิติเวชที่ผ่าพิสูจน์สาเหตุการตายของหนูน้อยวัย 10 ขวบ ผู้ผ่าศพได้สอนให้นิโครจดจำการกรีดหน้าท้องศพเอาไว้
“เป็นครั้งแรกที่ผมได้แตะต้องศพสดๆ ผมตะลึงในความสดของเครื่องในของแม่หนูน้อยคนนี้จนแทบลืมหายใจ”
แต่นิโคอยู่โรงพยาบาลแซงต์ไม่นานก็ย้านไปทำงานที่โรงพยาบาลแซงต์ โยเซฟ ทำหน้าที่เป็นพนักงานประจำห้องเด็บศพและผู้ช่วยพนักงานผ่าพิสูจน์ศพ และทำความสะอาดแต่งศพเพื่อประกอบพิธี นิโครเล่สส่าเขารู้สึกชอบงานนี้มาก เขาชอบศึกษาการผ่าท้องรูปตัววายเปิดซี่โครงแบะออกเพื่อดูอวัยวะภายใน เขาชอบการเห็นเลื่อยไฟฟ้าผ่ากะโหลกศีรษะ การตัดอวัยวะภายในออกมาใส่กล่องทีละส่วนๆ เพื่อรายงานผ่าพิสูจน์หลังการตาย นิโครชอบอยู่ตามลำพังศพเอาอวัยวะภายในใส่กลับเขาไป และบางครั้งเขาก็เริ่มแอบชำแหละชิ้นเนื้อศพมากินสดๆ แล่เนื้อบางส่วนติดมือเอาไปทำอาหารที่บ้าน นิโคชอยเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อที่หลัง เนื้อหน้าอกไม่อร่อยมีแต่ไขมัน”
งานอีกอย่างของนิโครคือการนำใบสั่งแพทย์ไปเบิกถุงโลหิตมาจากธนาคารเลือดเพื่อใช้ในการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสให้นิโคสามารถยักยอกถุงเลือดมาเก็บซ่อนไว้ พอเวลาว่างเมื่อไหร่เขามึกเอาเถ้ากระดูกของคนตายผสมกับเลือดแล้วดื่มเพื่อดับความกระหาย
เช้าวันที่ 7 ตุลาคม ปี ค.ศ.1994 จู่ๆ นิโค กล็อกซ์ก็มีความรู้สึกว่าที่ผ่านมาการเป็นมนุษย์กินคนไม่สมบูรณ์พอ เขามีความคิดว่าเขาต้องหาเหยื่อที่มีชีวิตมาฆ่าและชำแหละกิน เขาเริ่มเปิดอินเตอร์เน็ตเข้าไปในห้องแช็ท รูมของมินิเทล(เว็บไซต์สำหรับพวกรักร่วมเพศ) จนได้เพื่อนคุยชื่อเธียรี่ ชายวัยกลางคนอายุ 34 เจ้าของภัตตาคารและเป็นเกย์ นิโคส่งข้อความมาทางโทรศัพท์ โดยบอกกับเธียรรี่ว่าเขาต้องการมีเพศสัมพันธ์กับเขา และนัดสถานที่พูดคุยกัน โดยเธียรี่ได้บอกที่อยู่ของเขาเพื่อนัดให้นิโคมาเจอ
จากนั้นนิโคก็เตรียมปืนพก .22 ไว้ที่เอวใส่เสื้อแจ็คเก็ตคลุมไว้อย่างมิดชิด เมื่อเดินทางมาถึงห้องพักของเธียรี่ นิโคบอกชื่อปลอมและเดินเข้าไปในห้องและหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็วมในขณะที่เธียรี่กำลังปิดประตูห้อง นิโครกระชากปืนพกออกมาจากเอว เธียรี่ถอดหน้าสีเมื่อเจอปากกระบอกปืนจ้องมาที่ระดับตา นิโครข่มใจนิดหนึ่งก่อนที่เหนี่ยวไก
กระสุนนัดแรกทะลวงไปใบหน้าของเธียรี่ เขาล้มคว่ำลงบนพื้นห้อง นิโครมองดูเลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลอย่างสบายใจ เขาเดินทางดูร่างของเธียรี่ก็พบว่าเขายังไม่ตาย เขายังส่งเสียงครางเบาทุรนทุราย หายใจหวีดๆ ซึ่งทำให้นิโครต้องยิงซ้ำที่ด้านหลังศีรษะหนึ่งนัดและยิงซ้ำสองสามนัดเพื่อแน่ใจว่าเธียรี่ตายจริง นอกจากนี้นิโครยังยิงแผ่นหลังของเธี่ยรี่อีกนัดเป็นของแถม
การฆ่าที่โหดเหี้ยมของนิโครยังไม่สิ้นสุด เขาเดินไปหยิบกระถาวต้นไม้เขื่องมาทุบหัวของเธียรี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระถามแตก จากนั้นเขาก็เช็ดรอยนิ้วมือของตนเองออกจากขอบกระถาง รวบบัตรเครดิต กระเป๋าสตางค์ บัตรประจำตัวของเธียรี่ ใบจับขี่ นาฬิกาปลุกและเครื่องตอบรับโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายหลังและเผ่นออกจากที่เกิดเหตุทันที
เธียรี่ บิสซอนนิเยร์ นอนตายอยู่บนพื้นห้องนานถึง 3 วัน จนกระทั้งพ่อของเธี่ยรี่มาพบศพในอพาร์เมนต์ และแจ้งตำรวจทันที ตำรวจมาถึงและเก็บหลักฐาน
รายงานผลการพิสูจน์ศพระบุว่า เหยื่อไม่ตายกระสุนนัดแรกที่ทะลวงเข้าไปในลูกนัยน์ตาเพราะมันอยู่ห่างจากสมอง และนัดต่อๆ มาที่ทะลุกะโหลกศีรษะหมด ยกเว้นนัดเดียวที่เฉี่ยวมันสมองไป แต่กระสุนที่เธียรี่ถึงแก่ความตายคือนัดสุดท้ายที่เข้าไปด้านหลัง หัวกระสุนนั้นทะลวงหัวใจ
นิโครลาส กล็อซ์น่าจะลอยนวลไม่ยาก หากไม่เขาใช้บัตรประจำตัวของเธียรี่ที่เขาแกะรูปเธียรี่ออกแล้วเอารูปของเขาใส่ไปแทน เมื่อเขานำไปซื้อเครื่องถ่ายวิดิทัศน์เสมียนเทียบลายมือก็พบว่าผิดปกติ เสมียนแจ้งตำรวจ แต่นิโคเผ่นหนีไปก่อนที่ตำรวจจะมา
นั้นคือเบาะแสที่ทำให้ตำรวจหน่วยสอบสวนคดีฆาตกรรมบุกไปรวบตัวนิโคได้ที่นอกมูแลงรูจ ในขณะที่พาหญิงไปเที่ยว นิโคถูกสอบสวนอย่างหนักและจำนนด้วยหลักฐานที่พบ เขาสารภาพเรื่องการฆาตกรรมเธียรี่เพียงแค่คดีเดียวเท่านั้นโดยบอกว่าเขาไม่ใช้พวกไม้ป่าเดียวกัน เขาฆ่าเธี่ยรี่เพียงเพ่ะอน่กเห็นคนตายด้วยเงื่อมมือของตนเองเท่านั้น และสารภาพเรื่องการขโมยศพในสุสาร การขโมยถุงเลือดมาแช่ตู้เย็นแล้วดื่ม
นิโคลาส กล็อซ์ถูกนำตัวมาพิจารณาในศาลเมื่อปี ค.ศ.1997 ที่คูร์ เดอ แอสซีส ปารีส มีคณะลูกขุนตัดสิน 9 คน และแน่นอนส่งที่ทนายความใช้ในการต่อสู้ในศาลคือ “คนบ้าไม่ผิด”
อัยการพยายามให้คณะลูกขุนเห็นว่านิโคเป็นคนสติดี และฆ่าเธียรี่โดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยเห็นได้ชัดว่าเขาขโมยของส่วนตัวของผู้ตายติดตัวไปด้วย และเชื่อว่าเขาน่าจะฆ่าคนมากกว่าหนึ่งคนในปี ค.ศ.1994 หากแต่ไม่มีพยานและหลักฐาน
และนี้คือคำให้การของนิโคที่มีต่ออัยการ
“อัยการเรียกผมว่า ไอ้พวกเสพติดฆ่าคน ไอ้ผีดิบ ไอ้ผีดูดเลือด อัยการชอบใส่ไข่ผมว่า ผมเลียนแบบฆาตกรต่อเนื่องเจ้าของฮายา “นักฆ่าผู้ถือดอกกุหลาบแห่งมินิเทล” “
ในวันตัดสินคณะลูกขุนถกเถียงถึง 3 ชั่วโมงจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า “จำเลยผิดจริงตามข้อกล่าวหาของอัยการ ฐานทำการฆาตกรรมนายเธียรี่ บีสซองแยร์ โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และโทษที่ได้รับคือจำคุกจำเลย 12 ปี”
นิโคถูกส่งตัวไปคุมขังในเรือนจำเฟลอรีย์-เมอโรกีส์ทางใต้ของมหานครปารีส 4 ปีกับ 2 เดือน และย้ายไปอยู่เรือนจำเมซอง ซ็องทรัล ปัวซีที่อยู่ห่างจากนครปารีสไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 15 ไมล์
ผู้สื่อข่าวเคยถามนิโคว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อกินเนื้อคน
นิโคตอบว่า “บอกตรงๆจากหัวใจเลยนะ มันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเทียบเท่ากับเทพเจ้า มันทำให้ผมไม่ใช้มนุษย์ธรรมดา แต่มันเหนือมนุษย์ธรรมดาขึ้นไปจนบอกไม่ถูก
แต่น่าเหลือเชื่อนิโคได้รับจองจำเพียง 7 ปี กับอีก 4 เดือนเท่านั้น และทางการก็ได้ปล่อยนิโคเป็นอิสระนิโคลาส กล็อกซ์ถูกออกจากเรือนจำในวันที่ 22 มีนาคม ปีค.ศ. 2002
หลังจากพ้นโทษนิโคใช้ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ที่เรียนมากจากเรือนจำ สร้งเซ็บไซท์ของตัวเองประกาศขายภาพสีของอดีตฆาตกรโหดมืออาชีพ และเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์กินเนื้อคนวางขายตลาด และได้รับเชิญออกรายการทอล์ค โชว์ จนกลายเป็นคนดังในที่สุด
และนี้คือถ้อยคำในเว็บไซต์ของนิโค ตอนหนึ่ง
“เว็บไซต์นี้เป็นเว็บอย่างเป็นทางการของข้าพเจ้า เว็บไซท์ที่ไม่เป็นทางการของจ้าพเจ้าในอดีต บัดนี้ข้าพเจ้าได้ละทิ้งมันไปโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้าพยายามกลับตัวกลับใจเสียใหม่อย่างเต็มที่ แม้ข้าพเจ้าไม่สามารถลบภาพพจน์ในอดีตของข้าพเจ้าได้ แต่ก็พยายามทำให้ภาพพจน์ของข้าพเจ้าสวยงดงามที่สุด ข้าพเจ้ามิบังอาจว่ากล่าวว่าเว็บไซต์ของข้าพเจ้าดีกว่าคนอื่น ข้าพเจ้ามิได้นำอดีตมาค้าขายหากำไร แต่ข้าพเจ้าเพียงแค่ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ทำความชั่วช้าแบบเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ในอดีต เพราะข้าพเจ้ามิอาจจะชดใช้ความผิดของข้าพเจ้าได้เคยทำไว้กับสังคมโดยรวมได้สาสมเลย ข้าพเจ้าสาบานว่าจะไม่กลับไปเป็นมนุษย์กินคนโดยเด็ดขาด”
นิโคเดินทางไปใช้ชีวิตในประเทศสวีเดนและอังกฤษ และกลับมายังมหานครปารีสอีกครั้ง ปีค.ศ.2004 ใช้ชีวิตคู่กับเพื่อนต่างเพศในอพาร์ทเม็นต์ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

credits :: จากหนังสือฆ่ากินศพ โดย ส.องครักษ์
Cammy @ http://writer.dek-d.com/cammy/story/view.php?id=205702